วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ระบบสุริยะจักรวาล


          ระบบสุริยะ คือระบบดาวที่มีดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ (Planet) เป็นบริวารโคจรอยู่โดยรอบ เมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ต่อการดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตก็จะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์เหล่านั้น หรือ บริวารของดาวเคราะห์เองที่เรียกว่าดวงจันทร์ (Satellite) นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ในบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหมดกว่าแสนล้านดวงในกาแลกซี่ทางช้างเผือก ต้องมีระบบสุริยะที่เอื้ออำนวยชีวิตอย่าง ระบบสุริยะที่โลกของเราเป็นบริวารอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าระยะทางไกลมากเกินกว่าความสามารถในการติดต่อจะทำได้ถึงที่โลกของ เราอยู่เป็นระบบที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ (The sun) เป็นศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ (Planets) 9 ดวง ที่เราเรียกกันว่า ดาวนพเคราะห์ ( นพ แปลว่า เก้า) เรียงตามลำดับ จากในสุดคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต ( ตอนนี้ไม่มีพลูโตแร้ว เหลือแค่ 8 ดวง )
และ ยังมีดวงจันทร์บริวารของ ดวงเคราะห์แต่ละดวง (Moon of sattelites) ยกเว้นเพียง สองดวงคือ ดาวพุธ และ ดาวศุกร์ ที่ไม่มีบริวาร ดาวเคราะห์น้อย (Minor planets) ดาวหาง (Comets) อุกกาบาต (Meteorites) ตลอดจนกลุ่มฝุ่นและก๊าซ ซึ่งเคลื่อนที่อยู่ในวงโคจร ภายใต้อิทธิพลแรงดึงดูด จากดวงอาทิตย์ ขนาดของระบบสุริยะ กว้างใหญ่ไพศาลมาก เมื่อเทียบระยะทาง ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร หรือ 1au.(astronomy unit) หน่วยดาราศาสตร์ กล่าวคือ ระบบสุริยะมีระยะทางไกลไปจนถึงวงโคจร ของดาวพลูโต ดาว เคราะห์ที่มีขนาดเล็กที่สุด ในระบบสุริยะ ซึ่งอยู่ไกล เป็นระยะทาง 40 เท่าของ 1 หน่วยดาราศาสตร์ และยังไกลห่างออก ไปอีกจนถึงดงดาวหางอ๊อต (Oort's Cloud) ซึ่งอาจอยู่ไกลถึง 500,000 เท่า ของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ด้วย ดวงอาทิตย์มีมวล มากกว่าร้อยละ 99 ของ มวลทั้งหมดในระบบสุริยะ ที่เหลือ

       นอกนั้นจะเป็นมวลของ เทหวัตถุต่างๆ ซึ่ง ประกอบด้วยดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอุกกาบาต รวมไปถึงฝุ่นและก๊าซ ที่ล่องลอยระหว่าง ดาวเคราะห์ แต่ละดวง โดยมีแรงดึงดูด (Gravity) เป็นแรงควบคุมระบบสุริยะ ให้เทหวัตถุบนฟ้าทั้งหมด เคลื่อนที่เป็นไปตามกฏแรง แรงโน้มถ่วงของนิวตัน ดวงอาทิตย์แพร่พลังงาน ออกมา ด้วยอัตราประมาณ 90,000,000,000,000,000,000,000,000 แคลอรีต่อวินาที เป็นพลังงานที่เกิดจากปฏิกริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ โดยการเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม ซึ่งเป็นแหล่งความร้อนให้กับดาว ดาวเคราะห์ต่างๆ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์ จะเสียไฮโดรเจนไปถึง 4,000,000 ตันต่อวินาทีก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีความเชื่อว่าดวงอาทิตย์ จะยังคงแพร่พลังงานออกมา ในอัตรา ที่เท่ากันนี้ได้อีกนานหลายพันล้านปี


ที่มา : http://thesunsk.blogspot.com/

วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบในร่างกายมนุษย์

      ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยระบบต่างๆ มากมายเนื่องจากจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกลไกการทำงานที่สลับซับซ้อน การศึกษาระบบที่ทำงานเฉพาะเหล่านี้คือวิชากายวิภาคศาสตร์มนุษย์ ระบบอวัยวะในมนุษย์ยังสามารถพบได้ในสัตว์ชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด
          ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulatory system) ทำหน้าที่สูบฉีดและลำเลียงเลือดมาจากและไปยังปอดและส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยผ่านหัวใจ, เลือด, หลอดเลือด
          ระบบทางเดินอาหาร (Digestive system) ทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาการโดยมีอวัยวะที่ทำหน้าที่เช่น ต่อมน้ำลาย, หลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร, ตับ, ถุงน้ำดี, ตับอ่อน, ลำไส้, ไส้ตรง, และทวารหนัก
          ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine system) ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารภายในร่างกายโดยอาศัยฮอร์โมนซึ่งผลิตจากต่อมไร้ท่อ เช่น ไฮโปทาลามัส, ต่อมใต้สมอง, ต่อมไพเนียล, ต่อมไทรอยด์, ต่อมพาราไทรอยด์, และต่อมหมวกไต
         ระบบปกคลุมร่างกาย (Integumentary system) ได้แก่ผิวหนัง, ผม, ขน, และเล็บ
         ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic system) เป็นโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการขนถ่ายน้ำเหลืองระหว่างเนื้อเยื่อและกระแสเลือด น้ำเหลือง, ต่อมน้ำเหลือง, และหลอดน้ำเหลืองซึ่งทำหน้าที่ขนส่งน้ำเหลืองนั้นจัดว่าอยู่ในระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) ซึ่งมีหน้าที่ต่อต้านสารก่อโรคโดยเม็ดเลือดขาว, ต่อมทอนซิล, ทอลซินคอหอย (adenoid) , ต่อมไทมัสและม้าม
         ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular system) เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวโดยใช้กล้ามเนื้อ
         ระบบประสาท (Nervous system) ทำหน้าที่รวบรวม ขนส่ง และประมวลข้อมูลจากสมอง, ไขสันหลัง, และเส้นประสาท
         ระบบสืบพันธุ์ (Reprodutive system) ประกอบด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น รังไข่, ท่อนำไข่, มดลูก, ช่องคลอด, ต่อมน้ำนม, อัณฑะ, หลอดน้ำอสุจิ, ถุงน้ำอสุจิ, ต่อมลูกหมาก, และองคชาต
         ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory system) ประกอบด้วยอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจ เช่น คอหอย, กล่องเสียง, ท่อลม, หลอดลม, ปอด, และกะบังลม
         ระบบโครงกระดูก (Skeletal system) ค้ำจุนและป้องกันโครงสร้างอื่นๆ ด้วยกระดูก, กระดูกอ่อน, เอ็นและเอ็นกล้ามเนื้อ
         ระบบขับถ่ายปัสสาวะ (Urinary system) ไต, ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ, และท่อปัสสาวะซึ่งเกี่ยวข้องกับสมดุลน้ำ แร่ธาตุ และการขับถ่ายปัสสาวะ


ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki

ประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์



        กาลิเลโอ: บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คำว่า science ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า วิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษาลาติน คำว่า scientia ซึ่งหมายความว่า ความรู้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอนได้พยายามคิดค้นวิธีมาตรฐานในการอุปนัย เพื่อนำมาใช้สร้างทฤษฎีหรือกฎต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์จากข้อมูลที่ทดลองหรือสังเกตได้จากธรรมชาติ ]] เป็นผู้ถอนรื้อและปรับปรุงแนวความคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยเก่า ที่ยึดกับแนวความคิดของอริสโตเติลทิ้งไป. ณ ขณะนั้น กาลิเลโอได้กำหนดลักษณะสำคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไว้ดังนี้
ทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายสาเหตุได้ เช่น ในขณะที่ยังไม่มีความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงนั้น กาลิเลโอไม่สนใจที่จะอธิบายว่า "ทำไมวัตถุถึงตกลงสู่พื้นดิน ?" แต่สนใจคำถามที่ว่า "เมื่อมันตกแล้ว มันจะถึงพื้นภายในเวลาเท่าใด ?"
ใช้คณิตศาสตร์เพื่อเป็นภาษาหลักของวิทยาศาสตร์ (ดูหัวข้อ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์)
ในเวลาต่อมา ไอแซก นิวตันได้ต่อเติมรากฐานและระบบระเบียบของแนวคิดเหล่านี้ และเป็นต้นแบบสำหรับสาขาด้านอื่น ๆ ของวิทยาศาสตร์
       ก่อนหน้านั้น, ในปี ค.ศ. 1619 เรอเน เดส์การตส์ ได้เริ่มเขียนความเรียงเรื่อง Rules for the Direction of the Mind (ซึ่งเขียนไม่เสร็จ). โดยความเรียงชิ้นนี้ถือเป็นความเรียงชิ้นแรกที่เสนอกระบวนการคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และปรัชญาสมัยใหม่. อย่างไรก็ตามเนื่องจากเดส์การตส์ได้ทราบเรื่องที่กาลิเลโอ ผู้มีความคิดคล้ายกับตนถูกเรียกสอบสวนโดย โป๊ปแห่งกรุงโรม ทำให้เดส์การตส์ไม่ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ออกมาในเวลานั้น
การพยายามจะทำให้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นระบบนั้น ต้องพบกับปัญหาของการอุปนัย ที่ชี้ให้เห็นว่าการคิดแบบอุปนัย (ซึ่งเริ่มต้นโดยฟรานซิส เบคอน) นั้น ไม่ถูกต้องตามหลักตรรกศาสตร์.เดวิด ฮูมได้อธิบายปัญหาดังกล่าวออกมาอย่างละเอียด คาร์ล พอพเพอร์ในความคิดลักษณะเดียวกับคนอื่น ๆ ได้พยายามอธิบายว่าสมมติฐานที่จะใช้ได้นั้นจะต้องทำให้เป็นเท็จได้ (falsifiable) นั่นคือจะต้องอยู่ในฐานะที่ถูกปฏิเสธได้ ความยุ่งยากนี้ทำให้เกิดการปฏิเสธความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามีระเบียบวิธี 'หนึ่งเดียว' ที่ใช้ได้กับวิทยาศาสตร์ทุกแขนง และจะทำให้สามารถแยกแยะวิทยาศาสตร์ ออกจากสาขาอื่นที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ได้


ที่มา :  https://th.wikipedia.org/wiki

ความหมายของวิทยาศาสตร์


         วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทั้งกระบวนการประมวลความรู้เชิงประจักษ์ ที่เรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และกลุ่มขององค์ความรู้ที่ได้จากกระบวนการดังกล่าว

         การศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์คำว่า science ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า วิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษาลาติน คำว่า scientia ซึ่งหมายความว่า ความรู้



ที่มา:https://th.wikipedia.org/wiki

ความสัมพันธ์ระหว่างโลก ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์


https://youtu.be/WM376BnK9CY