วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หิน (Rocks)


       หิน คือมวลของแข็งที่ประกอบไปด้วยแร่ชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติเปลือกโลกส่วนใหญ่มักเป็นแร่ตระกูลซิลิเกตนอกจากนั้นยังมีแร่ตระกูลคาร์บอเนตเนื่องจากบรรยากาศโลกในอดีตส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์บนบรรยากาศลงมาสะสมบนพื้นดินและมหาสมุทรสิ่งมีชีวิตอาศัยคาร์บอนสร้างธาตุอาหารและร่างกายแพลงตอนบางชนิดอาศัยซิลิกาสร้างเปลือกเมื่อตายลงทับถมกันเป็นตะกอน

วัฏจักรหิน (Rock cycle)
     เมื่อหินหนืดร้อนภายในโลก (Magma) และ หินหนืดร้อนบนพื้นผิวโลก (Lava) เย็นตัวลงกลายเป็น หินอัคนีลมฟ้าอากาศ น้ำ และแสงแดด ทำให้หินผุพังสึกกร่อนเป็นตะกอน ทับถมกันเป็นเวลานานหลายล้านปี แรงดันและปฏิกิริยาเคมีทำให้เกิดการรวมตัวเป็น หินตะกอน หรือ หินชั้น การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและความร้อนจากแมนเทิลข้างล่าง ทำให้เกิดการแปรสภาพเป็น หินแปร กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นวงรอบเรียกว่า วัฏจักรหิน (Rock cycle) อย่างไรก็ตามกระบวนการไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ หินอัคนี หินชั้น และหินแปร การเปลี่ยนแปลงประเภทหินอาจเกิดขึ้นย้อนกลับไปมาได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม


 หินอัคนี
     หินอัคนี (Igneous rocks) เป็นหินที่เกิดจากการแข็งตัวของหินหนืด (Magma) จากชั้นแมนเทิลที่โผล่ขึ้นมา เราแบ่งหินอัคนีตามแหล่งที่มาออกเป็น 2 ประเภท คือ
     - หินอัคนีแทรกซอน (Intrusive igneous rocks) เป็นหินที่เกิดจากหินหนืดที่เย็นตัวลงภายในเปลือกโลกอย่างช้าๆ ทำให้ผลึกแร่มีขนาดใหญ่ และเนื้อหยาบ เช่น หินแกรนิต หินไดออไรต์ และหินแกรโบร
     - หินอัคนีพุ (Extrusive ingneous rocks) บางทีเรียกว่า หินภูเขาไฟ เป็นหินหนืดที่เกิดจากลาวาบนพื้นผิวโลกเย็นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลึกมีขนาดเล็ก และเนื้อละเอียด เช่น หินบะซอลต์ หินไรออไรต์ และหินแอนดีไซต์

หินตะกอน
    หินตะกอน หรือ หินชั้น (Sedimentary rocks) เป็น หินที่ถูกแสงแดด ลมฟ้าอากาศ และน้ำ หรือ ถูกกระแทก แล้วแตกเป็นก้อนเล็กๆ หรือผุกร่อน เสื่อมสภาพลง เศษหินที่ผุพังทั้งอนุภาคใหญ่และเล็กถูกพัดพาไปสะสมอัดตัวกัน เป็นชั้นๆ เกิดความกดดันและปฏิกิริยาเคมีจนกลับกลายเป็นหินอีกครั้ง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดหินตะกอนหรือหินชั้น คือ การผุพัง (Weathering) การกร่อน (Erosion) และการพัดพา (Transportation)

หินแปร
     หินแปร คือ หินที่แปรสภาพไปจากโดยการกระทำของความร้อน แรงดัน และปฏิกิริยาเคมี หินแปรบางชนิดยังแสดงเค้าเดิม บางชนิดผิดไปจากเดิมมากจนต้องอาศัยดูรายละเอียดของเนื้อใน หรือสภาพสิ่งแวดล้อมจึงจะทราบที่มา อย่างไรก็ตามหินแปรชนิดหนึ่งๆ จะมีองค์ประกอบเดียวกันกับหินต้นกำเนิด แต่อาจจะมีการตกผลึกของแร่ใหม่ เช่น หินชนวนแปรมาจากหินดินดาน หินอ่อนแปรมาจากหินปูน เป็นต้น หินแปรส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระดับลึกใต้เปลือกโลกหลายกิโลเมตร ที่ซึ่งมีความดันสูงและอยู่ใกล้กลับหินหนืดร้อนในชั้นแอสทีโนสเฟียร์ แต่การแปรสภาพในบริเวณใกล้พื้นผิวโลกเนื่องจากสิ่งแวดล้อมโดยรอบก็คงมี นักธรณีวิทยาแบ่งการแปรสภาพออกเป็น 2 ประเภท คือ
      - การแปรสภาพสัมผัส (Contact metamorphism) เป็นการแปรสภาพเพราะความร้อน เกิดขึ้น ณ บริเวณที่ หินหนืดหรือลาวาแทรกดันขึ้นมาสัมผัสกับหินท้องที่ ความร้อนและสารจากหินหนืดหรือลาวาทำให้หินท้องที่ในบริเวณนั้นแปรเปลี่ยนสภาพผิดไปจากเดิม
     - การแปรสภาพบริเวณไพศาล (Regional metamophic) เป็นการแปรสภาพของหินซึ่งเกิดเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลเนื่องจากอุณหภูมิและความกดดัน โดยปกติการเปรสภาพแบบนี้จะไม่มีความเกี่ยวพันกับมวลหินอัคนี และมักจะมี ริ่วขนาน (Foliation) จนแลดูเป็นแถบลายสลับสี บิดย้วยแบบลูกคลื่น ซึ่งพบในหินชีสต์ หินไนส์ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการการตกผลึกใหม่ของแร่ในหิน ทั้งนี้ริ้วขนานอาจจะแยกออกได้เป็นแผ่นๆ และมีผิวหน้าเรียบเนียน เช่น หินชนวน

ที่มา : https://sites.google.com/

ทรัพยากรดิน


     ดินเป็นวัตถุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีกระบวนการเริ่มจากการสลายตัวของหินและแร่ตามธรรมชาติ
ซึ่งเรียกว่า วัตถุต้นกำเนิดดิน และการสลายตัวของอินทรีย์สาร เช่น ซากพืช ซากสัตว์ โดยผู้ย่อยสลายตาม
ธรรมชาติกลายเป็นฮิวมัส(Humus) เมื่อวัตถุต้นกำเนิดดินผสมคลุกเคล้ากับฮิวมัสจะกลายเป็นดิน

ปัจจัยที่มีผลต่อการกำเนิดดิน
     1.ภูมิอากาศ จะเป็นตัวควบคุมอุณหภูมิซึ่งมีอิทธิพลต่อการสลายตัวของหินและแร่ทั้งทางตรงและทางอ้อม
     2.วัตถุต้นกำเนิดดิน ซึ่งก็คือหินและแร่ที่สลายตัว จะมีผลต่อความรวดเร็วในการแปรสภาพของดิน ตลอดจน
ชนิดและลักษณะของดินด้วย
     3.สภาพภูมิประเทศ บริเวณที่มีลักษณะภูมิประเทศที่มีความลาดชันจะเกิดการพังทลายและถูกกัดเซาะได้ง่าย
จะเกิดดินเร็วขึ้น
     4.สิ่งมีชีวิตในดิน ทั้งพืชและสัตว์มีอิทธิพลในแง่การเพิ่มสารอินทรีย์ให้แก่ดิน

ประเภทของดิน
  การจำแนกตามลักษณะของเนื้อดินได้ 3 ประเภท คือ
      1.ดินทราย ได้แก่ ดินที่มีทรายประกอบอยู่ตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไปโดยน้ำหนัก ดินมีลักษณะเป็นเม็ดใหญ่และมีอากาศในเนื้อดินมากน้ำซึมผ่านได้ง่ายจึงมีความชื้นในดินน้อย
      2.ดินเหนียว ได้แก่ ดินที่มีดินเหนียวประกอบอยู่ตั้งแต่ร้อยละ 40 ขึ้นไป โดยทั่วไปเป็นดินที่มีลักษณะเม็ดเล็กละเอียดและมีช่องว่าในเนื้อดินน้อย ลื่นมือ อุ้มน้ำได้ดี
     3.ดินร่วน ได้แก่ ดินที่มีส่วนประกอบดินทราย โคลนตม และดินเหนียวโดยปริมาณดินเหนียวและดินทรายไม่มากนัก เม็ดดินขนาดพอเหมาะ ฉะนั้น น้ำและอากาศจึงไหลผ่านดินร่วนได้ดีกว่าดินเหนียว

ประโยชน์ของดิน
     ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติชนิดหมุนเวียนที่มีส่วนเกื้อหนุนต่อสิ่งมีชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ในโลกได้ โดยใช้ผลผลิตที่เกิดจากดินหรือได้จากใต้ดิน นอกจากนี้ดินยังเป็นแหล่งกำเนิดและแหล่งผลิตปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต ซึ่งได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค รวมถึงบริเวณผิวโลกส่วนที่ลึกยังประกอบด้วยทรัพยากรที่มีค่า เช่น น้ำมันปิโตเลียม แร่ธาตุชนิดต่างๆ เป็นต้น

ที่มา : https://sites.google.com/site/

กรด-เบส ในชีวิตประจำวัน



       ในชีวิตประจำวันเราจะพบกับสารต่าง ๆ ซึ่งบางชนิดมีสมบัติเป็นกรด บางชนิดมีสมบัติเป็นเบส โดยสารละลายกรด - เบส มีทั้งประโยชน์และโทษต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเราควรจะเลือกใช้สารต่าง ๆ อย่างระมัดระวังและเหมาะสม
  
กรดในชีวิตประจำวัน
     สารละลายที่มีคุณสมบัติเป็นกรดที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น
-น้ำอัดลม ประกอบด้วยกรดคาร์บอนิก
-น้ำส้มและน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวประกอบด้วยกรดซิตริกซึ่งมีอยู่ในส้ม มะนาว ส้มโอ
-ใช้ในการปรุงแต่งรสอาหาร เช่น กรดแอซีติก ซึ่งมีในน้ำส้มสายชู เป็นต้น
-ใช้ในสารทำความสะอาดพื้นบ้าน เช่น กรดไฮโดรคลอริก เป็นต้น

เบสในชีวิตประจำวัน
     สารละลายเบสที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมีมากมายหลายชนิด เช่น
-โซเดียมไบคาร์บอเนต ในปากของเรามีแบคทีเรียอาศัยอยู่แบคทีเรียเหล่านี้ใช้น้ำตาลเป็นอาหารโดยสลายน้ำตาลไปเป้นกรดที่เรียกว่า Plaque acid ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคฟันผุ ดังนั้นในยาสีฟันจึงผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตหรือเบสที่ช่วยลดความเป็นกรด
-แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ ถ้าในกระเพาะอาหารมีกรดมากเกินไปทำให้อาหารไม่ย่อยและส่งผลให้เกิดอาการจุกเสียดหรือแน่นท้อง การรับประทานยาที่มีส่วนผสมของแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ หรือ Milk of magnesium จะช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารได้ เพราะมีฤทธิ์เป็นเบสอ่อน ๆ
-น้ำแอมโมเนียหรือแอมโมเนียไฮดรอกไซด์ ใช้ทำน้ำยาทำความสะอาดกระจก เป็นต้น
-ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต ใช้ทำขนมต่าง ๆ
-สบู่ ใช้ทำความสะอาดร่างกาย มีหลายชนิดทั้งที่เป็นก้อนแข็ง เป็นของเหลว และเป็นครีม
-ยาสระผม ใช้ทำความสะอาดเส้นผม
-ผงซักฟอก ใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้า

ที่มา : https://sites.google.com/site/acidsbase/krd-bes/krd-bes-ni-chiwit-praca-wan

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เเรง

   

         ในนิยามเบื้องต้นของแรงอาจกล่าวได้ว่า แรงคือ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเร่ง เมื่อกระทำเดี่ยวๆ ในความหมายเชิงปฏิบัติ แรงสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือแรงปะทะ และแรงสนาม แรงปะทะจะต้องมีการปะทะทางกายภาพของสองวัตถุ เช่นค้อนตีตะปู หรือแรงที่เกิดจากก๊าซใต้ความกดดัน ก๊าซที่เกิดจากการระเบิดของดินปืนทำให้ลูกกระสุนปืนใหญ่พุ่งออกจากปืนใหญ่ ในทางกลับกัน แรงสนามไม่ต้องการการสัมผัสกันของสื่อกลางทางกายภาพ แรงโน้มถ่วง และ แม่เหล็กเป็นตัวอย่างของแรงชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม โดยพื้นฐานแล้วทุกแรงเป็นแรงสนาม แรงที่ค้อนตีตะปูในตัวอย่างก่อนหน้านี้ ที่จริงแล้วเป็นการปะทะกันของแรงไฟฟ้าจากทั้งค้อนและตะปู แต่ทว่าในบางกรณีก็เป็นการเหมาะสมที่เราจะแบ่งแรงเป็นสองชนิดแบบนี้เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ
    ชนิดของเเรง
        มีแรงพื้นฐานในธรรมชาติที่รู้จักด้วยกันอยู่ 4 ชนิด
แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม กระทำระหว่างอนุภาคระดับเล็กกว่าอะตอม
แรงแม่เหล็กไฟฟ้า ระหว่างประจุไฟฟ้า
แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน เกิดจากการสลายตัวของกัมมันตภาพรังสี
แรงโน้มถ่วงระหว่างมวล

ทฤษฎีสนามควอนตัมจำลองแรงพื้นฐานสามชนิดแรกได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่ได้จำลองแรงโน้มถ่วงควอนตัมเอาไว้ อย่างไรก็ตาม แรงโน้มถ่วงควอนตัมบริเวณกว้างสามารถอธิบายได้ด้วย ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป

แรงพื้นฐานทั้งสี่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ทั้งหมด รวมถึงแรงอื่นๆ ที่สังเกตได้เช่น แรงคูลอมบ์ (แรงระหว่างประจุไฟฟ้า) แรงโน้มถ่วง (แรงระหว่างมวล) แรงแม่เหล็ก แรงเสียดทานแรงสู่ศูนย์กลาง แรงหนีศูนย์กลาง แรงปะทะ และ แรงสปริง เป็นต้น

แรงต่างๆ ยังสามารถแบ่งออกเป็น แรงอนุรักษ์ และแรงไม่อนุรักษ์ แรงอนุรักษ์จะเท่ากับความชันของพลังงานศักย์ เช่น แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า และแรงสปริง แรงไม่อนุรักษ์เช่น แรงเสียดทาน และแรงต้าน


ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/

สารคอลลอยด์เเละสารเเขวนลอย

สารแขวนลอย
      สารแขวนลอย คือสารแขวนลอย เป็นสารที่ประกอบด้วยอนุภาคเล็ก ๆ ของของแข็ง มีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าสารคอลลอยด์ สารแขวนลอย จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 1 x 10-4 เซนติเมตร อนุภาค ของของแข็งลอยกระจายอยู่ในของเหลวซึ่งสามารถมองเห็นได้ อย่างชัดเจน เมื่อตั้งทิ้งไว้นิ่ง ๆ จะเกิดการตกตะกอน เช่น น้ำโคลน น้ำคลอง น้ำอบไทย น้ำแป้ง เป็นต้น


สารคอลลอยด์ 
        เป็นสารผสมที่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อเดียวกัน โดยแบ่งเป็นส่วนเนื้อเดียว (continous phase) และอนุภาคคอลลอยด์ (dispersed phase) ซึ่งตัวอนุภาคคอลลอยด์จะมีขนาดระหว่าง 10-7-10-4 เซนติเมตร หรือมากกว่าขนาดรูกระดาษเซลโลเฟน แต่น้อยกว่ารูกระดาษกรองอนุภาคคอนลอยด์จะเกาะตัว ใหญ่กว่าโมเลกุล แต่ไม่ใหญ่มากจะแยกชั้นชัดเจน เช่น นม ควัน เป็นอาทิ


ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/

การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ



         การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
   สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง
         ๑. การกระทำของธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น การเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ภูเขาไฟระเบิด การเปลี่ยแปลงของอุณหภูมิและอากาศ พายุ น้ำท่วม
         ๒. การกระทำของมนุษย์ มนุษย์สามารถดัดแปลงสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตได้ โดยนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น การสร้างเขื่อน ทำถนน ขุดคลอง และการขยายพื้นที่ทำกินให้กว้างขวางออกไป ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านนี้ทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป

   ผลจากกการกระทำของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมในจังหวัด
       การใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่รอบคอบ และมีการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม ย่อมเป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างความเสื่อมโทรมให้กับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นปัญหาต่อมนุษย์เอง ดังนี้
๑. ปัญหามลพิษ
     ๑) มลพิษทางน้ำ เกิดจากการปล่อยน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรม อาคาร บ้านเรือน การทิ้งขยะหรือสิ่งปฏิกูลลงในแหล่งน้ำ จึงทำให้น้ำสกปรกจนไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
     ๒) มลพิษทางอากาศ เกิดจากการปล่อยฝุ่นละอองหรือก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรมหรือยานพาหนะ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคน
๒. ปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ
     ๑) ป่าไม้ถูกทำลาย เกิดจากการลักลอบตัดไม้ การทำไร่เลื่อนลอ การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ทำให้เกิดการชะล้างหน้าดิน น้ำป่าไหลบ่าจนดินถล่ม เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง
     ๒) ดินเสื่อมคุณภาพ เกิดจากการปลูกพืชที่ไม่เหมาะสมกับคุณสมบัติของดิน หรือการปลูกพืชชนิดเดียวซ้ำกันมากเกินไป โดยที่เกษตรกรไม่ฟื้นฟฟูสภาพดินหลังการใช้ประโยชน์
     ๓) ทรัพยากรชายฝั่งทะเลลดลง เกิดจากการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน เพื่อใช้เป็นพื้นที่เลี้ยงกุ้ง ทำให้สูญเสียแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ หรือการลักลอบจับปลาหรือสัตว์น้ำ โดยใช้เครื่องมือที่ผิดกฎหมาย เช่น อวนตาถี่ ใช้ไฟฟ้าช็อต ทำให้ปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ตายหรือใกล้สูญพันธุ์

 

ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/1739-00

วิวัฒนาการของมนุษย์

         วิวัฒนาการจากลิงสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ วิวัฒนาการของมนุษย์ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลง พัฒนาหรือวิวัฒนาการที่ทำให้สิ่งมีชีวิต (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทลิงใหญ่ ) มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์กลายเป็นสปีชีส์ใหม่ จนในที่สุดพัฒนาไปเป็นมนุษย์ปัจจุบัน มนุษย์กับลิงนั้นมีบรรพบุรุษร่วมกัน หรือกล่าวได้ว่ามนุษย์มีพัฒนาการมาจากลิง แต่ยังมีช่องว่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่หลายช่วงตอน มนุษย์เริ่มแยกจากลิงมาเมื่อ 2-3 ล้านปีก่อน เกิดวิวัฒนาการจากลิงเล็กมาเป็นลิงใหญ่ จากลิงใหญ่กลายมาเป็นมนุษย์ลิงและมนุษย์ปัจจุบัน ทุกวันนี้ทั้งมนุษย์และลิง ก็จะยังคงมีวิวัฒนาการต่อไปอีกเรื่อยๆ ทั้งลิงและมนุษย์ จัดอยู่ในกลุ่มใหญ่ เดียวกัน เรียกว่า primates ซึ่งมีการแบ่งชนชั้นกัน คือ ลิงใหญ่ (apes), ชะนี (gibbons), มนุษย์ลิง (Homonids) จากลิงใหญ่ก็กลายมาเป็นมนุษย์ลิง กว่าจะมาเป็นมนุษย์ปัจจุบัน มนุษย์ลิงได้ผ่านวิวัฒนาการมาสองช่วง ระยะแรกจัดเป็นพวก Homo erectus ระยะหลังคือ Homo sapiens พวก Homo sapiens ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน ลักษณะที่ร่วมกันมาจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ apes มาจนถึงคน คือ การชอบอยู่ร่วมกันเป็นสังคม และการรู้จักปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป




ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/

ภาวะโลกร้อน




            ภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในปัจจุบัน โลกของเราร้อนกว่าที่เคยเป็นมาใน 2 พันปีที่ผ่านมา หากสภาพนี้ยังเกิดขึ้นต่อไป เมื่อทศวรรษนี้สิ้นสุดลง อุณหภูมิของโลกมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงกว่าที่เคยเป็นมาใน 2 ล้านปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเมื่อศตวรรษที่ 20 สิ้นสุดลง 

สภาพอากาศอาจจะไม่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก แต่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็คือความร้อนนั้นเกิดขึ้นทั่วโลก และไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกลไกทางธรรมชาติที่ใช้อธิบายความร้อนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในวงกว้างเห็นร่วมกันว่ามนุษยชาติมีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้ และทางเลือกที่เราเลือกกระทำในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดสภาพภูมิอากาศในอนาคต

       เราทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างไร
เป็นเวลามากกว่า 1 ทศวรรษแล้วที่ผู้คนพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน และ ก๊าซธรรมชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงาน การเผาไหม้เชื้อเพลิงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนออกสู่บรรยากาศ ก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ที่สร้างผลกระทบมากกว่า ก็เป็นสาเหตุเช่นกัน รวมถึงการทำลายป่าอย่างมหาศาล
"ปัจจุบัน ความเข้าใจข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของภาวะโลกร้อนนั้นแจ่มชัดเพียงพอแล้วที่จะเป็นเหตุผลสำหรับประเทศต่างๆ ให้ลงมือปฏิบัติทันที"
- คำแถลงการณ์ร่วมของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 11 แห่ง ที่แถลงต่อผู้นำของโลกความจริงที่เรารู้
แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างเรื่องเวลา ขอบเขต และ ภูมิภาค ของภาวะโลกร้อน แต่มีการยอมรับร่วมกันเรื่องข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้

• ก๊าซต่างๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซต์ในบรรยากาศนั้น ก่อให้เกิด "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" ซึ่งกักเก็บความร้อนเอาไว้และรักษาโลกให้อบอุ่นพอที่จะหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิต ดังทีเราทราบกันดี

• การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน น้ำมัน ฯลฯ) ปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ออกสู่บรรยากาศเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่าคาร์บอนออกไซต์จะไม่ใช่ตัวการสร้างผลกระทบมากที่สุด แต่ก็เป็นก๊าซมนุษย์เป็นผู้ก่อให้เกิดมากที่สุด เนื่องถูกปล่อยออกมาปริมาณมาก

• ปัจจุบันความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซต์ในบรรยากาศอยู่ในระดับสูงที่สุดใน 150,000 ปี

• คาดว่าทศวรรษ 1990 เป็นทศวรรษที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ และ ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) เป็นปีที่ร้อนที่สุด

นอกจากนี้ยังได้ยอมรับร่วมกันอย่างกว้างขวางในสิ่งต่อไปนี้

• ความร้อนที่เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง นั่นคือ ราว 1.3 องศาเซลเซียส (2.3 องศาฟาเรนไฮท์) เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อพิจารณาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนถึงปัจจุบัน การจำกัดความร้อนให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส (3.6 ฟาเรนไฮท์) นั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

• ถ้าไม่สามารถควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ภาวะโลกร้อนใน 100 ปี ข้างหน้าจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมาตั้งแต่กำเนิดอารยธรรมมนุษย์

• เป็นไปได้สูงมากที่กลไกการตอบโต้ของสภาพภูมิอากาศจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศแบบทันทีและไม่สามารถกลับคืนเหมือนเดิม ไม่มีใครรู้ว่าภาวะโลกร้อนจะต้องรุนแรงมากขึ้นเพียงใดจึงจะจุดชนวนให้เกิด "สถานการณ์วันสิ้นโลก"



ที่มา : http://www.greenpeace.org/seasia/th/campaigns/climate-and-energy/climate-change-science/